ทริปนี้เป็นทริปที่ตั้งใจจะไปพักผ่อน เที่ยวแบบสบาย ๆ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เราเลยเลือกพักที่ “Jungle Kohkood Resort” (จังเกิล เกาะกูด รีสอร์ท) ฟีลอย่างกับอยู่บาหลีเลยจ้า ซึ่งที่นี่เขามีบริการเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะ ของบริษัทบุญศิริ พร้อมรถรับ-ส่ง ไปยังรีสอร์ทด้วย สามารถสอบถามกับที่พักได้เลย

วันที่ 1 – เริ่มกันที่การเดินทาง เราขับรถไปเองจาก กรุงเทพ-ตราด ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เราเอารถไปจอดไว้ที่ออฟฟิศบริษัทบุญศิริ (มีค่าฝากรถคืนละ 50 บาท) เมื่อรับตั๋วเรือเสร็จ ก็นั่งรถลากของบริษัทไปที่ท่าเรือแหลมศอก แนะนำว่าให้ไปรับตั๋วก่อนเวลา อย่างน้อย 30 นาที (เรือขาไป มีรอบ 10:45 น. และ 14:20 น. เรือขากลับ มีรอบ 09:00 น. และ 12:00 น ) ค่าเรือไป-กลับ 1,000 บาท/คน

นี่ไง เรือเฟอร์รี่ที่เราต้องนั่งไปเกาะกูด เรือมี 3 ชั้น ชั้นล่างสุดจะเป็นห้องแอร์ , ชั้น 2 ไม่มีแอร์ แต่ก็ไม่ร้อน ส่วนใครอยากรับลม ชมวิว แนะนำให้นั่งชั้นบนสุด ชิลมากบอกเลย

เมื่อมาถึงเกาะกูด (ท่าเรืออ่าวสลัด) จะมีรถของบริษัทบุญศิริ มารอรับไปส่งที่รีสอร์ท คำเตือน! สำหรับใครที่เมารถง่าย แนะนำให้พกยาดม ยาหม่องไปด้วยนะแกร๊

แล้วเราก็มาถึง Jungle Kohkood Resort บอกเลยว่าที่นี่สงบมาก พนักงานน่ารักทุกคน ตอนเช็คอิน มี welcome drink ให้ด้วย (เป็นน้ำมะนาว แก้อาการเมารถของเราได้พอดี 555)

แผนผังห้องพักที่รีสอร์ท เราแนะนำว่าให้เลือกพักห้องที่อยู่โซนกลาง ๆ เพราะจะได้ถ่ายรูปสวย ๆ อิอิ

มาดูห้องพักกันดีกว่า เราเลือกห้องขนาดเล็ก ราคา 1,800 บาท/คืน มีให้ทั้งแอร์ , พัดลม แล้วก็มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง ที่นี่ตกแต่งให้มีบรรยากาศเหมือนอยู่บาหลีสุด ๆ ถ่ายรูปได้แทบทุกมุมเลยจ้า

ส่วนนี่เป็นห้องพักขนาดใหญ่ พักได้ 3-4 คน ภายในห้องทุกอย่างต่างกันแค่ขนาดห้อง

บรรยากาศรอบ ๆ รีสอร์ท เข้าถึงธรรมชาติสุด ๆ

ที่นี่มีสระว่ายน้ำ และมีบาร์เก๋ ๆ ด้วยนะ เปิดถึงประมาณ 2 ทุ่ม

เราลองสั่งเครื่องดื่มจากบาร์ ชื่อเมนู Jungle’s Paradise ราคา 190 บาท เป็นเมนูยอดฮิตของที่นี่ รสชาติจะออกหวาน ๆ หน่อย แถมถ่ายรูปสวยด้วย

ด้วยความที่เรามาถึงรีสอร์ทก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว เลยตั้งใจอยู่ถ่ายรูปที่รีสอร์ทให้เต็มที่ มื้อเย็นเลยกินข้าวที่รีสอร์ทด้วย เราสั่งมาทั้งหมด 3 เมนู มี กุ้งลายเสือเผา ครึ่งกิโล 600 บาท , ปลาหมึกนึ่งมะนาว 180 บาท , แกงส้มปลาใส่ผักรวม 150 บาท เห้ย คือ มันดีมาก อาหารสดทุกอย่าง อร่อยทุกเมนู เพราะปกติอาหารที่รีสอร์ทบางที่ ที่เราเคยไป รสชาติจะไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แต่ที่นี่คือให้ 10 เต็ม 10 ไปเลย

วันที่ 2 – กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มื้อเช้าจัดบุพเฟ่ต์ที่รีสอร์ทอย่างเต็มที่มาก ไลน์อาหารหลากหลาย มีทั้งข้าวต้ม ปลาผสมหมูทรงเครื่อง , อาหารประเภทผัด แกงจืด ที่กินกับข้าวสวย , สลัด , ผลไม้ , อเมริกันเบรคฟาสท์ และที่เราประทับใจมาก คือมีแพนเค้กราดน้ำผึ้งด้วย แฮปปี้ที่สุดจ้า

อิ่มแล้ว ก็เตรียมตัวเที่ยวต่อ เราเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่รีสอร์ท ราคา 300 บาท/วัน มีน้ำมันให้ 1 ลิตร (ถ้าคิดว่าจะขับเยอะ ก็เติมเพิ่มก็ได้ ราคาลิตรละ 40 บาท)

ช่วงเช้า จริง ๆ เราเริ่มต้นด้วยการไปน้ำตก เพราะที่พักอยู่ใกล้กับ “น้ำตกคลองเจ้า” มาก แต่ด้วยฤดูนี้น้ำน้อย เลยอดเล่น เลยตัดสินใจไปลองดูอีกน้ำตก คือ “น้ำตกคลองยายกี๋” ปรากฎว่าน้ำน้อยยิ่งกว่า 555 เราเลยเอาภาพจากในอินเทอร์เน็ตมาให้ดูกัน เผื่อใครอยากจะไป แนะนำว่าให้ไปช่วงฤดูฝน น้ำจะเยอะ เล่นได้แน่นอน

หลังจากการเล่นน้ำตกไม่สำเร็จ เราเลยไปหาอะไรอร่อย ๆ กินก่อนไปทะเลในช่วงบ่าย ที่เกาะกูดจะเห็นร้านอาหารแบบชาวบ้านเปิดกันเองเยอะมาก เพราะที่นี่อยู่แบบวิถีชาวบ้าน ไม่มีร้านสะดวกซื้อใด ๆ จะมีก็เป็นร้านขายของ ร้านอาหาร ที่ชาวบ้านเปิดกันเอง เราชอบมาก เพราะรู้สึกได้ว่า มันเป็นการมาพักผ่อน ที่หลีกหนีความวุ่นวายจริง ๆ

เราเลือกมากินที่ร้าน “วารี” เพราะสะดุดตากับผลไม้สดที่แขวนอยู่หน้าร้าน เลยสั่งเป็นน้ำมะม่วงปั่น กับ กล้วยปั่น ซะเลย แก้วละ 60 บาทเอง แก้วใหญ่มาก หอมมะม่วงสุด ๆ ส่วนอาหาร เราสั่งเป็น ส้มตำทะเล 100 บาท , กะเพราทะเล 50 บาท รสชาติจัดจ้านมาก ใครไม่กินเผ็ด อย่าลืมบอกป้าเขาด้วยนะ

ที่เกาะกูดมีหลายหาดให้เลือก ซึ่งทริปนี้เราไปมา 2 ที่ ที่แรกคือ “หาดคลองเจ้า” เป็นหาดที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยม อาจจะเพราะอยู่ติดถนนของเกาะ มองเห็นได้ง่ายด้วย แถมยังมีมุมให้สาว ๆ อย่างเราถ่ายรูปอยู่หลายมุมเลย

และอีกที่ที่เราเลือกไป คือ หาดหน้าที่พัก Koh Kood Resort ที่นี่จะเป็นเหมือนหาดส่วนตัว ถ้าไม่ได้พักที่นี่ ก็สามารถเข้ามาได้เหมือนกัน เพราะที่นี่จะมีคาเฟ่อยู่ติดริมหาดเลย สามารถมานั่งชิล ทานอาหาร และเล่นน้ำทะเลได้

หลังจากเล่นน้ำทะเลเสร็จ เราก็กลับไปอาบน้ำที่รีสอร์ท และออกมากินมื้อเย็นที่ ร้าน “นุชเหลือง” ซึ่งเป็นร้านที่พี่พนักงานที่รีสอร์ทแนะนำ จะบอกว่าร้านนี้เป็นร้านที่เรายกให้เป็นอันดับ 1 ในทริปเลย เพราะอาหารทั้งอร่อย สด แถมราคาไม่แพงอีกต่างหาก ใครมาเกาะกูด ห้ามพลาดร้านนี้เด็ดขาด! เมนูที่เราสั่งมี ทะเลรวมเผา 500 บาท (สดมาก น้ำจิ้มก็เริ่ด) , ฉู่ฉี่ปลาอินทรีย์ 150 บาท (ชิ้นใหญ่มากแม่) และ ต้มยำกุ้งน้ำข้น 150 บาท (ใช้เป็นกุ้งเผามาทำต้มยำเลย คือดีย์)

วันที่ 3 – เรากลับเรือรอบเช้า 09:00 น. ก่อนกลับเลยขอรีวิวอาหารเช้าที่รีสอร์ทอีกนิด เพราะวันนี้แขกไม่ถึง 10 คน อาหารเช้าเลยจะเป็นแบบเซตให้เลือก เราเลือกเป็นโจ๊กหมู กับ อเมริกันเบรคฟาสท์ ซึ่งก็ได้เยอะพอสมควร

ส่วนใครที่อยากนั่งคาเฟ่ชิล ๆ เราแนะนำอีกร้าน คือ “View point cafe” เป็นคาเฟ่ติดทะเล ลมพัดเย็นสบาย นั่ง ๆ ไป อาจมีเผลอหลับได้ 555

สำหรับรีวิวทริปนี้ เราหวังแค่อยากให้ทุกคนที่อ่าน ได้ลองไปสัมผัสธรรมชาติ ไปใช้ชีวิตแบบง่าย ๆ ให้สมองและร่างกายได้ผ่อนคลาย และไปสัมผัสความน่ารักของคนที่เกาะกูด ซึ่งบอกได้เลยว่า ทุกคนจะหลงรักเกาะกูดไปแบบไม่รู้ตัวเหมือนเราแน่นอน